วิถีชีวิตเพื่อการส่งเสริมสุขภาพดวงตาด้วยกีกระทบ (ตะบายทะมิงเชอ) ของกลุ่มชาติพันธุ์เขมรสุรินทร์ * ( The Way of Life for Eyesight Health Supporting by Tabaithamengcher of Khamer Ethnic Group in Surin . )
สุกัญญา สายแสงจันทร์ * * วาสนา แก้วหล้า ***
บทคัดย่อ
วิถีชีวิตเพื่อการส่งเสริมสุขภาพดวงตาด้วยกีกระทบ( ตะบายทะมิงเชอ) ของชาวเขมรสุรินทร์ เป็นการศึกษาถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นต่อสายตามนุษย์จากการดำรงชีพเป็นหลัก โดยใช้แนวคิดกระบวนการดูแลสุขภาพของศาสตร์แพทย์ทางตะวันออกเป็นปัจจัยสำคัญ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิถีชีวิตของชาวเขมรสุรินทร์ที่ประกอบอาชีพทอผ้าโดยใช้กีกระทบ (ตะบายทะมิงเชอ) กับการดูแลสุขภาพดวงตา การศึกษาครั้งนี้ ใช้กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ การสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเขมร ซึ่งอาศัยอยู่ตามเทือกเขาพนมดงรัก การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์ และสังเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพจากเอกสาร การสัมภาษณ์ การสังเกตในลักษณะการพรรณนา ตามสาระและเนื้อหาที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
ผลการศึกษาพบว่า มีความสอดคล้องควบคู่เป็นมาด้วยดี ระหว่างการทอผ้ากับการมีสายตาที่ดีในการดูแลสุขภาพดวงตา เมื่อได้องค์ความรู้ที่สำคัญเป็นประโยชน์ก็จะสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางกระตุ้น ส่งเสริมประชาชน รวมทั้งองค์กรต่างๆเห็นคุณค่าให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มาจากชาวเขมรสุรินทร์ยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่การพัฒนาหลายๆด้านที่จะเป็นประโยชน์ให้กับชุมชน ท้องถิ่น สังคม ประเทศชาติและที่สำคัญผู้ที่ประกอบอาชีพทอผ้าโดยใช้กีกระทบ (ตะบายทะมิงเชอ) จังหวัดสุรินทร์ จะเกิดความภาคภูมิใจได้รับการส่งเสริมทั้งอาชีพและสุขภาพดวงตา อาจเป็นผลให้เกิดการมีส่วนร่วมอนุรักษ์การทอผ้าเป็นมรดกของสุรินทร์ไว้ตราบนานยิ่งขึ้นไป
คำสำคัญ : วิถีชีวิต , การส่งเสริมสุขภาพดวงตา , กีกระทบ , กลุ่มชาติพันธุ์เขมรสุรินทร์
* บทความนี้เป็นการวิจัยภาคสนามแนวชาติพันธุ์วรรณนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์ เรื่อง ภูมิรู้การถนอมดวงตาของผู้สูงอายุในกลุ่มชาติพันธุ์เขมร
** นักศึกษาปริญญาโท หลักสูตรวิทยาศาสคร์มหาบัณฑิต สาขาสาธารณสุขศาสตร์ คณวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
*** ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต (วท.ม.) มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
บทนำ
ปัจจุบันแนวคิดในการดูแลสุขภาพ ได้มีการปรับกระบวนการจากการซ่อมแซมรักษาสุขภาพมาเป็นการป้องกันส่งเสริมสุขภาพ โดยเริ่มต้นดำเนินการและเห็นการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ พ . ศ . 2548 ที่มีจำนวนผู้สูงอายุในประเทศไทยประมาณ 6.4 ล้านคน และคาดว่าในอนาคตจะมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง จนเป็นภาวะประชากรผู้สูงอายุ ทั้งนี้กระบวนการพัฒนาดังกล่าวได้ถูกกำหนดเป็นนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพอนามัยที่ดีขึ้นโดยรวมจนถึงปัจจุบัน สถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ได้คาดการณ์ว่าในปี พ . ศ . 2563 ประเทศไทยจะมีจำนวนประชากรผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปประมาณ 12 . 9 ล้านคน (สถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข . 2549 : 15 )
สำหรับการมีสุขภาพดี ในอดีตให้ความสำคัญกับสุขภาพกายเป็นหลัก เพราะเห็นว่าร่างกายแข็งแรงก็น่าจะเพียงพอ แต่เมื่อมีการศึกษากันอย่างกว้างขวางจึงมีการปรับปรุงแก้ไขมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีมุมมองสุขภาพเป็นความสมบูรณ์ของคนใน 4 มิติคือ ร่างกาย จิตใจ สังคม และวิญญาณหรือปัญญา หากทุกด้านมีความสมบูรณ์อย่างสมดุลย์ ก็จะเรียกว่า “ สุขภาวะที่ดี “ องค์การอนามัยโลก ( WHO : World Health Organization ) ได้ให้ความหมายของสุขภาพไว้ในธรรมนูญขององค์การอนามัยโลก เมื่อ ค . ศ . 1948 ว่า สุขภาพ หมายถึงสภาวะแห่งความสมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจ รวมถึงการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปรกติสุข และมิได้หมายความเฉพาะเพียงแต่การปราศจากโรคและทุพพลภาพเท่านั้น ต่อมาในที่ประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลก เดือนพฤษภาคม 2541 ได้มีมติใหเพิ่มคำว่า Spiritual well – being หรือสุขภาวะทางจิตวิญญาณเข้าไปในคำจำกัดความของสุขภาพ
องค์ประกอบสุขภาพในความหมายดังกล่าว มีการกำหนดมุมมองเป็น 4 มิติ เพื่อให้ง่ายต่อกระบวนการดำเนินงาน ได้แก่ ด้านการส่งเสริมสุขภาพ เป็นกลไกการสร้างความเข้มแข็งให้สุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพสังคม และสุขภาพด้านศีลธรรม ด้านการป้องกันโรค เป็นมาตรการลดความเสี่ยงในการเกิดโรครวมทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะโรคด้วยวิธีการต่างๆ ด้านการรักษาโรค เมื่อเกิดโรคขึ้นแล้วต้องเร่งวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไร แล้วรีบให้การรักษาด้วยวิธีที่ได้ผลดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด เท่าที่มนุษย์จะรู้และสามารถให้การบริการรักษาได้ เพื่อลดความเสียหายต่อสุขภาพ หรือป้องกันมิให้เสียชีวิต ด้านการฟื้นฟูสภาพ หลายโรคเมื่อเป็นแล้วอาจเกิดความเสียหายต่อระบบร่างกายและอวัยวะ หรืออาจทำให้พิการได้ จึงต้องมีการฟื้นฟูสภาพให้กลับมาใกล้เคียงปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะเห็นว่ามิติสุขภาพมีการกำหนดองค์ประกอบให้ความสำคัญไว้ทั้งการส่งเสริม ป้องกัน รักษาและฟื้นฟูทั้งกระบวนการ ถ้าหากกลไกด้านการส่งเสริมป้องกันโรคเกิดประสิทธิผลที่ดีกว่า ย่อมนำมาซึ่งความประหยัดเป็นแนวทางนำบุคคลไปสู่ความสุข ความสำเร็จมีสุขภาพชีวิตที่ดีได้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เป็นพุทธภาษิตว่า “ อโรคยา ปรมา ลาภา “ ซึ่งแปลว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ นอกจากนี้ยังมีสุภาษิตของชาวอาหรับโบราณกล่าวไว้ว่า คนที่มีสุขภาพดี คือคนที่มีความหวัง และคนที่มีความหวังคือคนที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง
การเลือกแนวทางการส่งเสริมสุขภาพปัจจุบันมีหลายวิธี ทั้งจากแพทย์แผนตะวันตกและแพทย์แผนจีน หรืออาจจะผสมผสานหลายๆแนวทางเข้าด้วยกัน ทั้งนี้ต่างมุ่งหวังให้มนุษย์มีสุขภาพที่ดีเหมือนกันทั้งสิ้น เช่น รู้จักรับประทานอาหารที่มีประโยขน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่สลับกันไปทุกวัน ออกกำลังกายพอสมควรอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วันประมาณ 30 นาทีเพื่อชะลอความเสื่อม คงไว้ซึ่งความแข็งแรงของอวัยวะและระบบต่างๆอยู่ในสถานที่ๆอากาศบริสุทธิ์ มีออกซิเจนเพียงพอเพื่อให้ร่างกายเกิดกระบวนการสร้างเซลขึ้นมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรออย่างมีประสิทธิภาพ มีการขับถ่ายที่ดีเป็นประจำ เพื่อให้มีการปรับสารเคมีแร่ธาตุในร่างกายให้เกิดความสมดุล รวมทั้งการทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นแนวทางในการส่งเสริมสุขภาพที่บุคคลทั่วไปสามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้
ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยโครงสร้างที่สลัลซับซ้อน ทั้งทางกายภาพและชีวภาพ โดยเริ่มจากระดับโมเลกุล เซลล์ เนื้อเยื่อและอวัยวะ โครงสร้างทุกระดับรวมกันเรียกว่าอวัยวะ ในทางการแพทย์ได้มีการจัดระบบอวัยวะของร่างกายมนุษย์ไว้เป็น 10 ระบบได้แก่ ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่ายปัสสาวะ ระบบหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และระบบต่อมไร้ท่อ การที่มนุษย์จะมีสุขภาพกายที่ดีได้ จำเป็นต้องให้ทุกระบบของร่างกายทำงานเชื่อมโยงกันอย่างเป็นปกติ หากระบบใดระบบหนึ่งทำงานผิดปกติย่อมมีผลทำให้ระบบอื่นเป็นตามไปด้วย ดังนั้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ดวงตาของมนุษย์เรา เป็นอวัยวะสำคัญซึ่งต้องอาศัยการทำงานจากหลายระบบในการมองเห็น โดยเฉพาะระบบประสาทที่สมองซึ่งมีเส้นใยประสาทตาจำนวนมาก มีหน้าที่รับภาพและแปลภาพที่เห็นออกมาให้มีความหมาย เส้นใยประสาทเหล่านี้มีจุดสัมพันธ์เชื่อมโยงไปยังระบบต่างๆของร่างกาย รวมทั้งอวัยวะที่สำคัญของมนุษย์ส่วนหนึ่งคือเท้า ในการเรียนรู้ตามศาสตร์แพทย์ตะวันออก เท้าของมนุษย์เรามีจุดสัมพันธ์กับอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย โดยมีจุดสะท้อนที่เท้าซึ่งเรียกว่าปลายประสาท เมื่อได้รับการกระตุ้นปลายประสาทเหล่านี้จะสะท้อนกลับไปยังอวัยวะต่างๆที่สัมพันธ์กัน มีผลทำให้ระบบต่างๆภายในร่างกายรวมทั้งอวัยวะทำงานได้อย่างสมดุล นำมาซึ่งการมีสุขภาพที่ดี ทั้งการส่งเสริมป้องกันโรค การรักษาและการผ่อนคลายตามกระบวนการที่เรียกว่า รีเฟลกโซโลยี ( Refleoxogy ) หรือกระบวนการสะท้อนกลับของร่างกาย (ศักดิ์ บวร . 2551 : 10 - 11 ) สำหรับจุดสะท้อนกลับหรือปลายประสาทที่เท้าของมนุษย์ ซึ่งสัมพันธ์กับความสมดุลของดวงตาอยู่บริเวณฝ่าเท้าส่วนหน้าต่ำกว่าโคนนิ้วชี้เล็กน้อย (สุเชาว์ เพียรเชาว์กุล . 2549 : 84 ) บริเวณดังกล่าวมนุษย์ต้องมีการสัมผัสและถูกกระตุ้นทุกครั้งที่มีการเดิน (gait) เนื่องจากเป็นจุดที่ต้องใช้ผลักหรือดันพื้น ( push off ) เพื่อยกเท้าก้าวไปข้างหน้า หากคนเรามีการเดินเท้าบ่อยๆหรือประกอบอาชีพบางประเภทที่จำเป็นต้องใช้เท้าอยู่เสมอ จุดสะท้อนหรือปลายประสาทที่เท้าถูกกระตุ้นมากยิ่งขึ้นยิ่งทำให้ มีการสะท้อนกลับไปยังอวัยวะที่สัมพันธ์ช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น (สุเชาว์ เพียรเชาว์กุล . 2549 : 16 ) ทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้เลือดดำไหลกลับสู่หัวใจได้ดีกว่า เป็นการส่งเสริมสุขภาพทั่วร่างกายเพราะอวัยวะที่สำคัญของร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องมีเลือดนำอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ทั้งสิ้น รวมทั้งดวงตาของเราด้วย
การทอผ้าของชาวเขมรสุรินทร์ เป็นหัตถการที่สำคัญของครอบครัวในสมัยโบราณ เพราะเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐานของมนุษย์ 1 ใน 4 อย่างคือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค (ศิริพร สุเมธารัตน์. 2554 : 185 ) เป็น การใช้แรงงานจากคนเป็นหลัก อุปกรณ์ในการทอผ้าส่วนมากเป็นการทำขึ้นเอง โดยใช้แรงงานจากคนในบ้านหรือเพื่อนบ้านในลักษณะการพึ่งพากัน เช่น กี่ ตะกอ คานแขวน ไม้เหยียบหรือคานเหยียบ กระสวยไม้นั่งทอผ้า ผัง ไม้ขิด บ่ากี่ รวมทั้งฟืมหรือหวี ซึ่งชาวเขมรสุรินทร์เรียกว่าทะมิงเชอ ที่มีลักษณะคล้ายหวี มีฟันเป็นซี่ๆ สำหรับสอดไหมหรือจัดเส้นไหม แล้วใช้กระทบไหมพุ่งที่สานตัดกันกับไหมยืนให้เป็นผืนผ้า ( จากการสัมภาษณ์ : ยายประเด็น ประไวย์ 2554 พฤศจิกายน 25 ) ชาวเขมรพื้นเมืองสุรินทร์ที่มีการทอผ้าไหมมายาวนาน มีความคุ้นเคยกับอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นอย่างดี ในการทอผ้าแต่ละผืนต้องใช้ทั้งเวลา ความอดทน อวัยวะต่างๆต้องทำงานอย่างสัมพันธ์กันโดยเฉพาะสายตา มือและเท้า ลักษณะเด่นของผ้าไหมสุรินทร์นอกจากมีสีสัน ลวดลายงดงามแล้ว เส้นไหมที่นำมาทอนิยมใช้ไหมเส้นน้อย เพราะเป็นไหมที่มีเนื้อละอียด หากผู้ทอมีสายตาในการมองเห็นไม่ดี ย่อมเป็นการยากที่จะได้ผ้าไหมที่งดงาม คงความเป็นเอกลักษณ์ดำรงอยู่จนถึงวันนี้ได้
อุปกรณ์การทอผ้าที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่ง ที่เรียกว่า ไม้เหยียบหรือคานเหยียบ อาจทำจากไม้ที่พอหาได้ หรือไม้ไผ่ เพื่อผูกเชื่อมโยงกับตะกอ ผู้ทอผ้าต้องใช้ฝ่าเท้าสัมผัสออกแรงกดที่ไม้เหยียบเพื่อให้เส้นไหมยืนขึ้น – ลงสลับกัน จะได้มีช่องสอดกระสวยเข้าไปในร่อง ก่อนที่จะใช้มือจับทะมิงเชอหรือฟืมกระทบให้เส้นไหมทั้งหมดอัดแน่นเป็นผืนผ้า บริเวณฝ่าเท้าที่ผู้ทอผ้าใช้สัมผัสกับไม้เหยียบหรือคานเหยียบ แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคนไม่มีกฏเกณฑ์แน่นอน บางคนสัมผัสทั่วทั้งฝ่าเท้าถ้าฝ่าเท้ามีขนาดเล็ก ส่วนคนที่ฝ่าเท้ามีขนาดใหญ่อาจใช้ส้นเท้า กลางฝ่าเท้าและปลายเท้าสลับกันไปมา สอดคล้องกับคำกล่าวของ ยายที สาขาจันทร์ “ เวลาทอผ้าแล้วแต่คนถนัดบางคนใช้กลางฝ่าเท้าและอุ้งเท้าเหยียบไม้ บางคนใช้อุ้งเท้ากับปลายนิ้วกดไม้เหยียบ สลับกันไป ” ( สัมภาษณ์ ยายที สาขาจันทร์ : 2554 กันยายน 29 )
จากการใช้ฝ่าเท้าเหยียบที่คานเหยียบตลอดเวลาของการทอผ้า ตำแหน่งบริเวณฝ่าเท้าส่วนหน้าซึ่งอยู่ต่ำกว่าโคนนิ้วชี้เล็กน้อยทั้งซ้ายและขวา เป็นจุดสะท้อนกลับหรือปลายประสาทที่สัมพันธ์กับความสมดุลของดวงตา หากมีการสัมผัสกระตุ้นๆบ่อยๆก็ยิ่งช่วยให้ปลายประสาทที่เท้าสะท้อนกลับไปที่ดวงตารวมทั้งบริเวณของดวงตาที่เกิดกระแสประสาท ( Nerve impulse ) เกี่ยวกับการมองเห็น ( Vision ) คือจอตาหรือเรตินา ( Retina) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบด้วยเซลล์ประสาทและเซลล์ซึ่งไวแสงเรียงตัวกันเป็นชั้น 2 ชนิด คือ เซลล์รูปแท่ง (Ron cell) ซึ่งไม่สามารถแยกความแตกต่างของสีและเซลล์รูปกรวย (Cone cell) ที่สามารถยกความแตกต่างของสีได้ รวมกันประมาณ 132 เซลล์ เมื่อแสงผ่านไปถึงเรตินา จะกระตุ้นให้เกิดกระแสประสาท ส่งผ่านใยประสาทที่ประสาทสมองคู่ที่ 2 (Optic nerve) ซึ่งเป็นประสาทที่เกี่ยวกับการมองเห็น และส่งผลไปจนถึงศูนย์กลางการมองเห็น (Visual centre) ซึ่งอยู่บริเวณสมองส่วนหน้าที่ใหญ่ที่สุด (Cerebrum) แล้วสมองก็จะแปล impulse สร้างเป็นภาพให้รู้สึกมองเห็นได้ การที่ตาจะเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจน อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงของแก้วตา (Lene) ซึ่งมีลักษณะใสๆเหมือนแก้วมีเอ็นยึดอยู่ไว้กับกล้ามเนื้อรอบของขอบแก้วตา กล้ามเนื้อนี้ทำหน้าที่ควบคุมปรับแก้วตาเพื่อให้แสงผ่านมารวมเป็นจุดบนเรตินาพอดี ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนทุกระยะ ถ้าแสงสว่างไม่รวมกันเป็นจุดเดียวบน Retina แสดงว่าสายตาผิดปรกติ เช่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาพร่าต่างแนว เป็นต้น ทุกครั้งที่บริเวณฝ่าเท้ามนุษย์ถูกกระตุ้น มีผลทำให้ร่างกายมีระบบการไหลเวียนที่ดีขึ้น เซลล์อวัยวะต่างๆรวมทั้งดวงตาย่อมได้รับการบำรุงหล่อเลี้ยงที่ดี ซึ่งช่วยลดความเสื่อมของดวงตา ช่วยยืดอายุการใช้งานของการมองเห็นได้นานขึ้นตามกระบวนการที่เรียกว่า Refleoxogy หรือกระบวนสะท้อนกลับของร่างกาย ( ศีขริน เรียบเรียง . 2550 : 105-113) ทั้งนี้สายตาของคนเราถือกำเนิดมาจากสมองเป็นส่วนใหญ่ จึงมีลักษณะเป็นเซลล์สมองด้วย ดังนั้นถ้าขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงเซลล์มักจะตายไปอย่างถาวร ยากที่จะแก้ไขกลับมาคืนได้ แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่าชาวเขมรสุรินทร์ที่ทอผ้าไหมหรือตะบายทะมิงเชอ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทอผ้ามานานตั้งแต่แรกรุ่นจนถึงวัยสูงอายุ ก็ยังสามารถทอผ้าเป็นอาชีพหลักมีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวมาโดยตลอด ทั้งนี้ต้องมีความสมบูรณ์ของร่างกายโดยเฉพาะสายตาเป็นองค์ประกอบสำคัญด้วย
บทสรุป
กล่าวโดยสรุป วิถีชีวิตของชาวเขมรสุรินทร์ เป็นการดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายยึดอาชีพที่ครอบครัวมีความถนัด และถ่ายทอดต่อกันมาเป็นช่วงๆ โดยมิได้มุ่งหวังหรือเรียนรู้ว่าเป็นการดูแลสุขภาพ แต่เป็นการดำเนินชีวิตเพื่อความอยู่รอดท่ามกลางสภาพแวดล้อมต่างๆที่เป็นอยู่ขณะนั้นมากกว่า การทอผ้าไหมหรือที่ชาวเขมรสุรินทร์เรียกว่าตะบายทะมิงเชอ เป็นอาชีพหลักสำคัญที่ทำต่อกันเนื่องกันมาเหมือนกับการทำนา จากงานวิจัยนี้ได้พยายามนำแนวคิดกายสานศาสตร์การดูแลสุขภาพวิถีตะวันออกมาอธิบายองค์ความรู้ที่เป็นภูมิรู้จากภูมิปัญญาเทคโนโลยีการทอผ้าของกลุ่มชาติพันธุ์เขมรสุรินทร์ ซึ่งปูพรมอยู่ตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก ความรู้ที่ได้จะนำไปสู่การจัดการองค์ความรู้ที่มีผลดีต่อสุขภาพ ปัจจัยสำคัญที่อาชีพนี้คงอยู่ได้ก็ด้วยเห็นว่าแม้จะมีอายุมากขึ้นเข้าสู่สูงวัยก็ยังสามารถทำได้ดี ช่วยสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน ซึงเมื่ออายุมากขึ้นการที่จะสามารถประกอบอาชีพต่างๆมีข้อจำกัดในด้านร่างกาย มีเพียงสายตาที่ยังสามารถใช้งานได้ดีกว่า และเมื่อประกอบอาชีพทอผ้ามาอย่างต่อเนื่องผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการ Refleoxogy หรือกระบวนการสะท้อนกลับของร่างกายย่อม เป็นส่วนสำคัญช่วยเสริมให้ระบบการไหลเวียนร่างกายได้อย่างปกติ เกิดความสมดุลย์โดยเฉพาะการมองเห็นที่สามารถทำให้ผู้ทอผ้าแม้จะเป็นผู้สูงอายุก็ยังประกอบอาชีพสำคัญที่บรรพบุรุษได้ให้ไว้อย่างภาคภูมิใจ
เอกสารอ้างอิง
ศักดิ์ บวร. ( 2551 ). นวดมือนวดเท้ารักษาโรค. พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี: บริษัท โอเอ็นจี .
ศีขริน เรียบเรียง . ( 2550 ) . นวดบำบัด สัมผัสแห่งความสุข . เพ็ญวัฒนา พิมพ์ .
ศิริพร สุเมธารัตน์. ( 2554 ) . ประวัติศาสคร์ท้องถิ่นเมืองสุรินทร์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร :
โอเดียนสโตร์.
สถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กระทรวงสารรสุข. ( 2549 ). คู่มือสุขภาพประจำตัวผู้สูงอายุ.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
สุเชาว์ เพียรเชาว์กุล. ( 2549 ). ศาสตร์แห่งเท้า คู่มือหมอประจำครอบครัว. พิมพ์ครั้งที่ 4.
กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ.
รายชื่อผู้ให้ข้อมูล (Interviewees)
1. ชื่อนางที สาขาจันทร์ อายุ 78 ปี , ผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์ทอผ้าโฮล , สัมภาษณ์ (29 กันยายน 2554 )
2. นางประเด็น ประไวย์ อายุ 63 ปี , ผู้สูงอายุที่ยังประกอบอาชีพทอผ้าโฮลอยู่ , สัมภาษณ์ ( 25 พฤศจิกายน 2554 )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น